วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย(Deductive  Method)
1. ความหมาย
การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย(Deductive  Method)หมายถึกระบวนการที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎ  ทฤษฎี  หลักเกณฑ์  ข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปตามวัตถุประสงค์ในบทเรียน  จากนั้นจึงให้ตัวอย่างหลายๆตัวอย่าง  หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกการนำทฤษฎี  หลักการ หลักเกณฑ์  กฎหรือข้อสรุปไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย   หรืออาจเป็นหลักลักษณะให้ผู้เรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยันทฤษฎี  กฎหรือข้อสรุปเหล่านั้น  การจัดการเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล  ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ  และมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์  ทฤษฎี  ข้อสรุปเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง การสอนแบบนี้อาจกล่าวได้ว่า  เป็นการสอนจากทฤษฎีหรือกฎไปสูตัวอย่างที่เป็นรายละเอียด
2.ขั้นตอนการสอน
การสอนแบบนิรนัยมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
1.)             ขั้นกำหนดขอบเขตของปัญหา  เป็นการนำเข้าสูบทเรียนโดยการเสนอปัญหาหรือระบุสิ่งที่
จะสอนในแง่ของปัญหา  เพื่อยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ  ปัญหาที่จะนำเสนอควรจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของชีวิตและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
2. )            ขั้นแสดงและอธิบายทฤษฎี  หลักการ  เป็นการนำเอาทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุปที่ต้องการสอนมาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทฤษฎี  หลักการนั้น
3.  )          ขั้นใช้ทฤษฎี  หลักการ  เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะเลือกทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุป  ที่ได้จากการเรียนรู้มาใช้ในการแก้ปัญหาที่กำหนดไว้ได้
4. )            ขั้นตรวจสอบและสรุป  เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะตรวจสอบและสรุปทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุปหรือนิยามที่ใช้ว่าถูกต้อง  สมเหตุสมผลหรือไม่  โดยอาจปรึกษาผู้สอน  หรือค้นคว้าจากตำราต่างๆ  หรือจากการทดลอง  ข้อสรุปที่ได้พิสูจน์หรือตรวจสอบว่าเป็นจริง  จึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
5.)             ขั้นฝึกปฏิบัติ  เมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจในทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุป  พอสมควรแล้ว  ผู้สอนเสนอสถานการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนฝึกนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆที่หลากหลาย
3. ประโยชน์
                        1.             เป็นวิธีการที่ช่วยในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้ง่าย  รวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
2.             ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ไม่มากนัก
3.             ฝึกให้ผู้เรียนรู้ได้นำเอาทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุปหรือนิยามไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ
4.             ใช้ได้ผลดีในการจัดการเรียนรู้วิชาศิลปศึกษาและคณิตศาสตร์
5.              ฝึกให้ผู้เรียนมีเหตุผล  ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ  โดยไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง
       
แหล่งอ้างอิง  https://sites.google.com/site/prapasara/15-1
                                                        นายอุรุพงษ์ โคดี 51314519 เอกคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ 







การจัดการเรียนรู้แบบใช้คำถาม(Questioning Method)
          1.ความหมาย
                   การจัดการเรียนรู้แบบใช้คำถาม(Questioning Method)เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้อนคำถามในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคำถามที่ดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ สังเคราะห์ หรือ การประเมินค่าเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น
          2. ขั้นตอนการสอน
                  การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้คำถามมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้                                                       
                              1.)ขั้นวางแผนการใช้คำถาม ผู้สอนควรจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้คำถามเพื่อวัตถุประสงค์ใด รูปแบบหรือประการใดที่จะสอดคล้องกับเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ ของบทเรียน
                              2. )ขั้นเตรียมคำถาม ผู้สอนควรจะเตรียมคำถามที่จะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการสร้างคำถามอย่างมีหลักเกณฑ์ 
                              3.)ขั้นการใช้คำถาม ผู้สอนสามารถจะใช้คำถามในทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และอาจจะสร้างคำถามใหม่ที่นอกเหนือจากคำถามที่เตรียมไว้ก็ได้ ทั้งนี้ต้องเหมาะสม กับเนื้อหาสาระและสถานการณ์นั้น ๆ
                      4.) ขั้นสรุปและประเมินผล
             4.1 การสรุปบทเรียนผู้สอนอาจจะใช้คำถามเพื่อการสรุปบทเรียนก็ได้
             4.2 การประเมินผล ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการประเมินผลตามสภาพจริ
          3. ประโยชน์
1. ผู้เรียนกับผู้สอนสื่อความหมายกันได้ดี
2. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. สร้างแรงจูงใจและกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
4. ช่วยเน้นและทบทวนประเด็นสำคัญของสาระการเรียนรู้ที่เรียน
5. ช่วยในการประเมินผลการเรียนการสอน ให้เข้าใจความสนใจที่แท้จริงของผู้เรียน และวินิจฉัยจุดแข็งจุดอ่อนของผู้เรียนได้
6. ช่วยสร้างลักษณะนิสัยการชอบคิดให้กับผู้เรียน ตลอดจนนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนตลอดชีวิต

แหล่งอ้างอิง  https://sites.google.com/site/prapasara/15-1

        นางสาวทวีพร โท้แก้่ว 51310191  คณะวิทยาศาสตร์  เอกคณิตศาสตร์




จัดทำโดยนางสาวเนตรนภา  สิงห์สถิตย์ 51313680



รูปแบบการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์

ใจความสำคัญของแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) มีดังนี้
          1) ความรู้ คือ การสร้างโครงสร้างทางปัญญาที่สามารถคลี่คลาย สถานการณ์ที่เป็นปัญหาได้
          2) นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีที่ต่าง ๆ กันโดยอาศัยประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ ความสนใจ
และแรงจูงใจภายในตนเองเป็นจุดเริ่มต้น
         3) ครูมีหน้าที่จัดการให้นักเรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทางปัญญา
สมมติฐาน ต่อไปนี้
           1) สถานการที่เป็นปัญหาก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญา
           2) ความขัดแย้งทางปัญญาเป็นแรงจูงใจทำให้เราสามารถแก้ไข้ปัญหาได้

การสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ ประกอบด้วย ขั้นตอน ดังนี้
เป้าหมายเพื่อฝึกให้นักเรียนทักษะในการคิดแก้ไข้ปัญหาและเรียนวิชาคณิตศาสตร์อย่างถูกต้อง
ขั้นตอนที่ สร้างความขัดแย้งทางปัญญา

          1) ครูเสนอปัญหา ให้นักเรียนคิดแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล โดยที่ปัญหา เป็นปัญหาที่มีความยากในระดับที่นักเรียนต้องปรับโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เดิม หรือต้องสร้างโครงสร้างทางปัญญาขึ้นใหม่ จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้
          2) จัดนักเรียนเข้ากลุ่มย่อย กลุ่มละ 4 – 6 คน นักเรียนแต่ละคนเสนอคำตอบและวิธีหาคำตอบของปัญหา ต่อกลุ่มของตน
ขั้นตอนที่ ดำเนินกิจกรรมไตร่ตรอง
          1) นักเรียนในกลุ่มย่อยตรวจสอบคำตอบและวิธีหาคำตอบของสมาชิกในกลุ่มตามเกณฑ์การตรวจสอบความเชื่อที่เสนอโดย โคโนลต์ ซึ่งได้แก่ ความสอดคล้องของความเชื่อ
              ก) ระหว่างบุคคล
              ข) ระหว่างสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกัน และ
              ค) ระหว่างความเชื่อกับการสังเกตในเชิงประจักษ์ โดยดำเนินการดังนี้
        2) สุ่มตัวแทนกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม มาเสนอวิธีหาคำตอบของปัญหา ต่อกลุ่มใหญ่ กลุ่มอื่นๆ เสนอตัวอย่างค้าน หรือเหตุผลมาค้านวิธีหาคำตอบที่ยังค้านได้ ถ้าไม่มีนักเรียนกลุ่มใดสามารถเสนอตัวอย่างค้านหรือเหตุผลมาค้านวิธีหาคำตอบที่ยังค้านได้ ครูจึงเป็นผู้เสนอเอง วิธีที่ถูกค้านจะตกไป ส่วนวิธีที่ไม่ถูกค้านจะเป็นที่ยอมรับของกลุ่มใหญ่ว่าสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการหาคำตอบของปัญหาใด ๆ ที่อยู่ในกรอบของโครงสร้างความสัมพันธ์เดียวกันนั้นได้ ตลอดช่วงเวลาที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถหาหลักฐานมาค้านได้ ซึ่งอาจมีมากกว่า วิธี
         3) ครูเสนอวิธีหาคำตอบของปัญหา ที่ครูเตรียมไว้ต่อกลุ่มใหญ่ เมื่อพบว่าไม่มีกลุ่มใดเสนอในแบบที่ตรงกับวิธีที่ครูเตรียมไว้ ถ้ามี ครูก็ไม่ต้องเสนอ
         4) นักเรียนแต่ละคนสร้างปัญหา ซึ่งมีโครงสร้างความสัมพันธ์เหมือนกับปัญหา ตามกฎการสร้างการอุปมาอุปไมยของเจนท์เนอร์ดังกล่าวแล้วในข้อ (2) เลือกวิธีหาคำตอบจากวิธีซึ่งเป็นที่ยอมรับของกลุ่มใหญ่ มาหาคำตอบของปัญหา C
         5) นักเรียนแต่ละคนเขียนโจทย์ของปัญหา ที่ตนสร้างขึ้นลงในแผ่นกระดาษพร้อมชื่อผู้สร้างปัญหา ส่งครู ครูนำแผ่นโจทย์ปัญหาของนักเรียนมาคละกันแล้วแจกให้นักเรียนทั้งห้องคนละ แผ่น
         6) นักเรียนทุกคนหาคำตอบของปัญหาที่โจทย์ได้รับ ด้วยวิธีการหาคำตอบที่เลือกมาจากวิธีที่เป็นที่ยอมรับของกลุ่มใหญ่แล้ว แล้วตรวจสอบคำตอบกับเจ้าของปัญหา ถ้าคำตอบขัดแย้งกัน ผู้แก้ปัญหาและเจ้าของปัญหาจะต้องช่วยกันค้นหาจุดที่เป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง และช่วยกันขจัดความขัดแย้ง
 
ขั้นตอนที่ สรุปผลการสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญา
             ครูและนักเรียนช่วยกันสรุป กระบวนการคิดคำนวณ หรือกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาที่นักเรียนได้ช่วยกันสร้างขึ้นจากกิจกรรมในขั้นตอนที่ ให้นักเรียนบันทึกข้อสรุปไว้

อ้างอิงข้อมูลจาก  http://elearning.msu.ac.th/documents/itc/html/04_4.html


วิธีสอนแบบสาธิต


         เป็นวิธีสอนที่ครูแสดงให้นักเรียนดูและให้ความรู้แก่นักเรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม และผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรง    
การสอนแบบสาธิตแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ ผู้สอนเป็นผู้สาธิต   ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสาธิต      ผู้เรียนสาธิตเป็นกลุ่ม  ผู้เรียนสาธิตเป็นรายบุคคล  วิทยากรเป็นผู้สาธิต  และการสาธิตแบบเงียบโดยให้นักเรียนสังเกตเอง
            ขั้นตอนของการสอนแบบสาธิต
1.      ขั้นเตรียมการสอน
1.1    กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้โดยวิธีการสาธิต
1.2    ศึกษาเนื้อหาสาระให้ชัดเจน  และจัดลำดับให้เหมาะสม
1.3    เตรียมกิจกรรมให้ผู้เรียนปฏิบัติ
1.4    เตรียมสื่อ อุปกรณ์ เอกสารให้เพียงพอกับผู้เรียน
1.5    กำหนดเวลาการสาธิตให้พอเหมาะ
1.6    กำหนดวิธีการประเมินผล
1.7    เตรียมสภาพห้องเรียน
1.8    ทดลองสาธิตก่อนสอนจริงในห้องเรียน
2.      ขั้นสาธิต
2.1    แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระที่จะเรียนรู้
2.2    บอกให้นักเรียนรู้บทบาทของตนเอง ได้แก่ การทดลองปฏิบัติ การจดบันทึก การสรุป
2.3    แนะนำสื่อการเรียนรู้
2.4    ดำเนินการสาธิต
3.      ขั้นสรุป
3.1    ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปผลที่เกิดจากการสาธิต
3.2    บันทึกขั้นตอนการสาธิตพร้อมทั้งผลที่เกิดขึ้น
4.      ขั้นวัดและประเมินผล
4.1    ผู้เรียนทดลองสาธิตให้ผู้อื่นดูพร้อมทั้งบอกผลและข้อคิดที่ได้
4.2    ให้เขียนรายงาน ตอบคำถามจากแบบฝึกหัด และแสดงความคิดเห็น
ข้อดีของการสอนแบบสาธิต
1.      นักเรียนได้ประสบการณ์ตรง
2.      สร้างความสนใจ และความกระตือรือร้น
3.      ฝึกการสังเกต การสรุปผล การบันทึก และการจัดขั้นตอน
ข้อจำกัดของการสอนแบบสาธิต
1.      การสาธิตบางครั้งไม่สามารถใช้กับผู้เรียนกลุ่มใหญ่
2.      ผู้สอนต้องแนะนำขั้นตอน อุปกรณ์ ที่ใช้ในการสาธิตอย่างชัดเจน
                        3.      ผู้สอนต้องทดลองการสาธิตก่อนสอนให้แม่นยำเพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

แหล่งอ้างอิง http://www.neric-club.com/data.php?page=32&menu_id=76

นาย ฐานพงษ์ ยะวงค์ 51314151 คณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ 



การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ (Discovery Method)


ความหมาย 

           เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบ หรือความรู้ด้วยตนเอง โดยผู้สอนจะเป็นผู้สร้างสถานการณ์ในลักษณะที่ผู้เรียนจะเผชิญกับปัญหา เป็นวิธีจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการ เหมาะสำหรับวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แต่ก็สามารถใช้กับวิธีอื่น ๆ ได้ ในการแก้ปัญหานั้น ผู้เรียนจะต้องนำข้อมูลทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปเพื่อให้ได้ข้อค้นพบใหม่หรือเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้น



ขั้นตอนการสอน


1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน

     1.1 ผู้สอนกระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียนให้สนใจที่จะศึกษาบทเรียน

2. ขั้นเรียนรู้ ประกอบด้วย

     2.1 ผู้สอนใช้วิธีจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยในตอนแรก เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบข้อสรุป

    2.2 ผู้สอนใช้วิธีตัดการเรียนรู้ แบบนิรนัย เพื่อให้ผู้เรียนนำข้อสรุปที่ได้ในข้อ 2 ไปใช้เพื่อเรียนรู้หรือค้นพบข้อสรุปใหม่ในตอนที่สอง โดยอาศัยเทคนิคการซักถาม โต้ตอบ หรืออภิปรายเพื่อเป็นแนวทางในการค้นพบ

     2.3 ผู้เรียนสรุปข้อค้นพบหรือความคิดรวบยอดใหม่

3. ขั้นนำไปใช้

     3.1 ผู้สอนให้ผู้เรียนนำเสนอแนวทางการนำข้อค้นพบที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหา อาจใช้วิธีการให้ทำแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อประเมินผลว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จริงหรือไม่ 


เป้าหมาย

1. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล

2. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

3. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความมั่นใจ 

4. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางด้านความคิด

5. เพื่อช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ค้นคว้าเพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง

6. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียน

7. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้วิธีสร้างความรู้ด้วยตนเอง เช่น การหาข้อมูล การวิเคราะห์และสรุปข้อความรู้


ข้อดี


1. ด้านผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การค้นหาคำตอบ หรือความรู้ด้วยตัวเอง และได้พัฒนาความคิดของตนเอง


2. ด้านผู้สอน สามารถประเมินได้ว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ (เข้าใจ) หรือไม่ 


ข้อเสีย

1. ด้านผู้เรียน เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ฉลาด มีความเชื่อมั่นในตนเองและมีแรงจูงใจสูง 

2. ด้านผู้สอน หรือผู้นำเสนอจะต้องมีวิธีการการจัดการเรียนรู้ไว้หลากหลายวิธี


ที่มา : นางประภัสรา โคตะขุน


แหล่งที่มา : https://sites.google.com/site/prapasara/15-1



นางสาวพิไลวรรณ ทองหล่อ รหัสนิสิต 51313697
คณะวิทยาศาสตร์  สาขาวิชาคณิตศาสตร์

วิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

วิธีสอนโดยการใช้สื่อ   (Media)

            วิธีสอนโดยการใช้สื่อ คือ  กระบวนการที่ผู้สอนได้ใช้วัสดุ  เครื่องมือ  อุปกรณ์  รวมทั้งวิธีการต่างๆ  เป็นตัวกลางในการสื่อความหมายใดๆ  เพื่อถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้เรียนตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้

            เนื่องจากเนื้อหาสาระในวิชาคณิตศาสตร์ส่วนมากล้วนเป็นนามธรรม ยากต่อการเข้าใจ จึงจำเป็นต้องใช้สื่อมาช่วยให้เกิดความเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น มีการใช้แบบจำลองรูปเรขาคณิต  ใช้สิ่งของมาอธิบายในเรื่อง การบวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น

วัตถุประสงค์ของวิธีสอนโดยการใช้สื่อ
เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้  ด้วยการทำสิ่งที่ซับซ้อนหรือเป็นนามธรรมเข้าใจยาก  ให้เป็นรูปธรรมที่เห็นภาพชัดเจนและเข้าใจง่าย  ช่วยทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและสามารถเรียนรู้ได้ในปริมาณที่มากขึ้น

ขั้นตอนการสอนโดยการใช้สื่อ

            การใช้สื่อการสอนนั้นอาจจะใช้เฉพาะขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของการสอน  หรือจะใช้ในทุกขั้นตอนก็ได้  ดังนี้

1.  ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
            - เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อที่กำลังจะเรียน 
            - สื่อที่ใช้ในขั้นนี้ควรเป็นสื่อแสดงเนื้อหากว้างๆ  หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในครั้งก่อน เพื่อบอกให้ผู้เรียนทราบว่าในวันนี้จะเรียนเรื่องอะไร
 ควรเป็นสื่อที่ง่ายต่อการนำเสนอในระยะเวลาอันสั้น  เช่น  ภาพ  บัตรคำ  บัตรปัญญา  เป็นต้น

2.  ขั้นดำเนินการสอน
            - เป็นขั้นที่จะให้ความรู้เนื้อหาอย่างละเอียด  เพื่อสนองวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 
            - ต้องเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาและวิธีการสอน  หรืออาจจะใช้สื่อประสมก็ได้ 
- ต้องมีการจัดลำดับขั้นตอนการใช้สื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียน 
- การใช้สื่อในขั้นนี้จะต้องให้ผู้เรียนได้รับความรู้นั้นอย่างละเอียดถูกต้องแล้วชัดเจนเช่น  แผนภูมิ  ภาพยนตร์  สไลด์  แผ่นโปร่งใส่  วีดิทัศน์  ชุดการเรียน เป็นต้น

3.  ขั้นฝึกปฏิบัติ
            - เป็นขั้นที่จะเพิ่มพูนประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรียน  เพื่อให้ได้ทดลองนำความรู้ด้านทฤษฎี  หรือหลักการที่เรียนมาแล้วไปใช้แก้ปัญหาในขั้นฝึกหัดโดยลงมือปฏิบัติเอง 
- ควรเป็นสื่อที่เป็นประเด็นปัญหาให้ผู้เรียนได้ขบคิด  โดยผู้เรียนเป็นผู้ใช้สื่อเองให้มากที่สุด  เช่น  สมุดแบบฝึกหัด  ภาพ  บัตรปัญหา  แถบบันทึกเสียง  ชุดการเรียนรายบุคคล  ชุดฝึก  ชุดทดลอง  เป็นต้น

4.  ขั้นสรุปบทเรียน
            - เป็นขั้นที่จะย้ำเนื้อหา  บทเรียนให้ผู้เรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ด้วย 
- สื่อที่ใช้สรุปจึงควรครอบคลุมเนื้อหาที่สำคัญทั้งหมดโดยย่อและใช้เวลาน้อย   เช่น แผนภูมิ  แผ่นโปร่งใส  เป็นต้น

ข้อดีของการใช้สื่อ
1)      ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดีขึ้น  ผู้เรียนสามารถจำได้มากและนานขึ้น
2)      ช่วยให้ผู้เรียนรู้ในปริมาณมากขึ้นในเวลาที่กำหนดไว้
3)      ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้

ข้อเสียของการใช้สื่อ
1)      ในการใช้สื่อบางชนิด  ต้องเสียค่าใช้จ่ายการซื้อเครื่อง และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น โปรเจ็กเตอร์  คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2)      สื่อบางชนิด  เหมาะสำหรับการศึกษาเป็นกลุ่มย่อย เช่น สื่อวัสดุ 3 มิติ   วัสดุกราฟิก เป็นต้น
3)      ในการใช้สื่อแต่ละชนิด ผู้ใช้จะต้องมีความรู้ความชำนาญในการใช้สื่อนั้นๆ อย่างแท้จริง มิฉะนั้นจะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจผิดในเนื้อหาสาระที่เรียนได้

ที่มาของแหล่งข้อมูล :

น.ส.เปี่ยมจิต  ษรจันทร์ศรี  รหัสนิสิต 51310344  
สาขาวิชาคณิตศาสตร์   คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยนเรศวร



รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

รูปแบบการเรียนรู้โมเดลซิปปา (CIPPA MODEL)

               รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (Cippa  Model) หรือรูปแบบการประสานห้าแนวคิด พบว่าแนวคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา  จึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกันเกิดเป็นแบบแผนขึ้น แนวคิดดังกล่าวได้แก่ แนวคิดการสร้างความรู้  แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และแนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้ เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย  อารมณ์  สติปัญญาและสังคม 

เป้าหมาย :โดยหลักการของโมเดลซิปปา ได้ยึดหลักการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ในตัว

หลักการ คือ การช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด  มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกัน  มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์  ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับการผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิด  Constructivism.

        ความหมายของ  CIPPA  
                C   มาจากคำว่า   Construct  หมายถึง การสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructiviism. กล่าวคือ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง ทำความเข้าใจ  เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายแก่ตนเอง  และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง  เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา               
                   I  มาจากคำว่า   Interaction  หมายถึง  การช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล  และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ได้รู้จักกันและกัน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดประสบการณ์  แก่กันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนทางสังคม                 
                   P  มาจากคำว่า   Physical  Participation   หมายถึง การช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่างๆ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย
                 P  มาจากคำว่า  Process   Learning   หมายถึง การเรียนรู้ กระบวนการ ต่างๆ ของกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต                 
                  A  มาจากคำว่า  Application หมายถึง การนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้  ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน เป็นการช่วยผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งในสังคม  และชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆจากแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หลักของโมเดลซิปปา (CIPPA  MODEL)  ซึ่งได้รูปแบบการเรียนการสอนซึ่งสามารถประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน
มีขั้นตอนสำคัญดังนี้
 1.ขั้นทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้ของผู้เรียนในเรื่องที่เรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน
 2. ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่   ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูล ความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่มีจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งครูอาจเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้    
              3. ขั้นการศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนเผชิญปัญหา และทำความเข้าใจกับข้อมูล ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่นใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปผลความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงความรู้เดิม มีการตรวจสอบความเข้าใจต่อตนเองหรือกลุ่ม โดยครูใช้สื่อและย้ำมโนมติในการเรียนรู้               
                4. ขั้นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม   ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือ ในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนเอง รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนเองแก่ผู้อื่นและได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆกัน               
                 5. ขั้นการสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และจัดสิ่งที่เรียนรู้ให้เป็นระบบระเบียบ เพื่อช่วยให้จดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย   
   6. ขั้นการแสดงผลงาน  ขั้นนี้เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้แสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนตอกย้ำ หรือตรวจสอบ  เพื่อช่วยให้จดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
  7. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นนี้เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ ความเข้าใจของตนเองไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้น   การวิพากษ์ วิจารณ์

รูปแบบการเรียนรู้โมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) น่าจะเหมาะสมที่สุดเพราะ ในรูปแบบนี้จะเน้นตัวนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญและ อาจารย์มีการสอนแบบเอาความรู้เดิมมาทบทวน แล้วค่อยสอนความรู้ใหม่ให้แก่นักเรียนแล้วอธิบายถึงความหมายหรือให้นักเรียนคิดและหาความหมายของเรื่องนั้นๆ แล้วสรุปออกมาเป็นความเข้าใจของเราเอง ดังนั้นแล้วได้เอาความรู้เก่ากับความรู้ใหม่มาใช้รวมกันให้เกิดประโยชน์ มากขึ้นและให้เกิดความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น

ดังนั้นจึงคิดว่ารูปแบบของรูปแบบการเรียนรู้โมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) เหมาะสมที่สุดในการนำรูปแบบนี้มาให้กับคณิตศาสตร์
………………………………………………………………………………………………………………
ที่มาโดย
นาย ภาณุพงศ์ แสงดี  ศึกษานิเทศก์  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 4
แหล่งอ้างอิง
http://www.gotoknow.org/blog/kuto3867/135072
รองศาสตราจารย์ ทิศนา  แขมมณี. (2542). ศาสตร์การสอนกรุงเทพ ฯ : ไทยวัฒนาพาณิช. 
จัดทำโดย : นางสาว อัจฉรา  นรกิจ  51310672 เอกคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร




วิธีสอนโดยใช้การนิรนัย  (Deduction)
                     .... เป็นการสอนจากหลักการไปสู่ตัวอย่างย่อย ๆ  ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกฝนการนำหลักการไปใช้ในสถานการณ์ใหม่....
             4.1   ความหมาย
                   วิธีการสอนโดยใช้การนิรนัย คือกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยการช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปในเรื่องที่เรียน แล้วจึงให้ตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่างเกี่ยวกับการใช้ทฤษฎี/ หลักการ / กฎ หรือข้อสรุปนั้น หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกนำทฤษฎี/ หลักการ/ กฎ หรือข้อสรุปนั้นไปในสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในทฤษฎี/ หลักการ/ กฎ หรือข้อสรุปนั้น ๆ อย่างลึกซึ้งขึ้น หรือกล่าวสั้น ๆ ได้ว่าเป็นการสอนจากหลักการไปสู่ตัวอย่างย่อย ๆ
               4.2   เป้าหมาย
                    วิธีการสอนโดยใช้การนิรนัย เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้หลักการและสามารถนำหลักการดังกล่าวไปใช้ได้
                    4.3  ขั้นตอนสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ของการสอน
                   4.3.1  ผู้สอนถ่ายทอดความรู้ / ทฤษฎี / หลักการ / กฎ / ข้อสรุปที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
                   4.3.2  ผู้สอนให้ตัวอย่างสถานการณ์ใหม่ที่หลากหลายที่สามารถนำความรู้ที่ได้เรียนมาไปใช้
                   4.3.3  ผู้สอนให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัตินำความรู้ ความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่
                   4.3.4  ผู้สอนให้ผู้เรียนวิเคราะห์และอภิปรายการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
                   4.3.5  ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
                    4.4  ข้อดีและข้อจำกัด
          4.4.1   ข้อดี
                  1)  เป็นวิธีสอนที่ช่วยถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
               2)  เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกฝนการนำทฤษฎี / หลักการไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ
                  3)  เป็นวิธีสอนที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนที่มีความสามารถหรือเรียนรู้ได้เร็วสามารถพัฒนา โดยไม่ต้องรอผู้เรียนที่ช้ากว่า
               4.4.2  ข้อจำกัด
                      1)  เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนจำเป็นต้องเตรียมตัวอย่าง / สถานการณ์ / ปัญหาที่หลากหลายมาให้ผู้เรียนได้ฝึกทำ
                      2)เป็นวิธีสอนที่ขึ้นกับความเข้าใจและความสามารถของผู้สอนในการนำเสนอทฤษฎี หลักการ  
                      3)  เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนที่เรียนรู้ได้ช้า  อาจจะตามไม่ทันเพื่อน และเกิดปัญหาในการเรียนรู้

ทิศนา  แขมณี    14 วิธีสอนสำหรับครูมืออาชีพ   บริษัท เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นัล พับลิเคชั่น จำกัด
                        กรุงเทพมหานคร   2543 
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2
4  มิถุนายน  2551

นายอนันต์ ยะไข่ 51313727 สาขาคณิตศาสตร์
รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์
 (  Davies’ Instructional  Model  for  Psychomotor  Domain )

ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
           เดวีส์ (Davies, 1971: 50-56) ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ ว่า ทักษะส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อนแล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันเป็นทักษะใหญ่ จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดีและเร็วขึ้น

วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
           รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนาความสามารถด้านทักษะปฏิบัติของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะที่ประกอบด้วยทักษะย่อยจำนวนมาก

กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
               ขั้นที่ 1  ขั้นสาธิตทักษะหรือการกระทำ  ขั้นนี้เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนได้เห็นทักษะหรือการกระทำที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ในภาพรวม โดยสาธิตให้ผู้เรียนดูทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ  ทักษะ หรือการกระทำที่สาธิตให้ผู้เรียนดูนั้น จะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ไม่ช้าหรือเร็วเกินปกติ ก่อนการสาธิต ครูควรให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนในการสังเกต ควรชี้แนะจุดสำคัญที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสังเกต                                        
                ขั้นที่ 2  ขั้นสาธิตและให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย  เมื่อ ผู้เรียนได้เห็นภาพรวมของการกระทำหรือทักษะทั้งหมดแล้ว ผู้สอนควรแตกทักษะทั้งหมดให้เป็นทักษะย่อย ๆ หรือแบ่งสิ่งที่กระทำออกเป็นส่วนย่อย ๆ และสาธิตส่วนย่อยแต่ละส่วนให้ผู้เรียนสังเกตและทำตามไปทีละส่วนอย่างช้า ๆ
                ขั้นที่ 3  ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย  ผู้ เรียนลงมือปฏิบัติทักษะย่อยโดยไม่มีการสาธิตหรือมีแบบอย่างให้ดู หากติดขัดจุดใด ผู้สอนควรให้คำชี้แนะ และช่วยแก้ไขจนกระทั่งผู้เรียนทำได้ เมื่อได้แล้วผู้สอนจึงเริ่มสาธิตทักษะย่อยส่วนต่อไป และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยนั้นจนทำได้ ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนกระทั่งครบทุกส่วน
                 ขั้นที่ 4  ขั้นให้เทคนิควิธีการ  เมื่อ ผู้เรียนปฏิบัติได้แล้ว ผู้สอนอาจแนะนำเทคนิควิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำงานนั้นได้ดีขึ้น เช่น ทำได้ประณีตสวยงามขึ้น ทำได้รวดเร็วขึ้น ทำได้ง่ายขึ้น หรือสิ้นเปลืองน้อยลง เป็นต้น
                 ขั้นที่ 5  ขั้น ให้ผู้เรียนเชื่อมโยงทักษะย่อย ๆ  เป็นทักษะที่สมบูรณ์ เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติแต่ละส่วนได้แล้ว จึงให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ  และฝึกปฏิบัติหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งสามารถปฏิบัติทักษะที่สมบูรณ์ได้อย่างชำนาญ

ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
            ผู้เรียนจะสามารถปฏิบัติทักษะได้เป็นอย่างดี  มีประสิทธิภาพ

วิพากษ์วิจารณ์
          รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์  ดังกล่าวเป็น รูปแบบการฝึกฝนที่เน้นทักษะพิสัย  คือเน้น  กระบวนการปฎิบัติโดยส่วนใหญ่  ซึ่งเหมาะสมที่จะนำไปปรับใช้หรือประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนของกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เพราะ การเรียนคณิตศาสตร์ ที่ดีและได้ผล ควรฝึกปฎิบัติบ่อยๆ   เช่น
ฝึกทำโจทย์ทางคณิตศาสตร์บ่อยๆ   ท่องสูตรต่างๆ  เป็นต้น แต่ทั้งนี้หากผู้สอนหรือผู้ที่สนใจจะนำรูปแบบดังกล่าวไปปรับใช้ควรมีเทคนิคการสอนพอควร และหากให้มีการฝึกฝนควรมีการทดสอบเพื่อวัดผลและประเมินว่าผู้เรียนมีความเข้าใจในเนื้อหามากน้อยเพียงใด  รวมถึงจะเป็นแนวทางในการประเมินการสอนของผู้สอนอีกด้วย
  ………………………………………………………………………………
 ที่มา  :  apinya เป้ย karikan . “ การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน
 (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก: http://www.gotoknow.org/blog/apinya16/204147
……………………………………………………………………………………………………………….
นายธนชิต   ธรรมใจ  รหัสนิสิต  51310238   สาขาคณิตศาสตร์  คณะวิทยาศาสตร์

วิธีสอนแบบบรรยาย (Lecture Method)


เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนให้ความรู้ตามเนื้อหาสาระด้วยการเล่าอธิบายแสดงสาธิตโดยที่ผู้เรียนเป็นผู้ฟังเพียงอย่างเดียว อาจเปิดโอกาสให้ซักถามปัญหาได้บ้างในตอนท้ายของการบรรยาย
ความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบบรรยาย
1. เป็นการสอนที่เน้นเนื้อหาสาระที่นำเสนอโดยครูผู้สอน ผู้บรรยายจะเสนอปัญหาวิธีการ
ต่างๆในการแก้ปัญหา และสรุปด้วยว่าวิธีการใดเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดตามหลักการ
2. เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลายๆแนวคิดก่อนที่จะสรุปเป็นข้อคิดหรือทางเลือกที่เหมาะสม
ข้อดีของวิธีสอนแบบบรรยาย
1. ดำเนินการสอนได้รวดเร็ว
2. ง่ายต่อการสอนเพราะไม่ต้องเตรียมสื่อการสอน เพียงแต่ครูเตรียมเนื้อหาสาระที่จะสอน
ล่วงหน้าก็เพียงพอ
3. สามารถใช้สอนได้ในเวลาอันจำกัด ส่งเสริมทักษะในการย่อและเขียนสรุป
ข้อสังเกตของวิธีสอนแบบบรรยาย
1. หากผู้เรียนมีความตั้งใจฟังการบรรยาย จะช่วยเสริมทักษะในการสรุปความ
2. ผู้สอนต้องรู้จักการสร้างบรรยากาศด้วยวาทศิลป์ เพื่อมิให้ผู้ฟังสูญเสียความสนใจ
3. สาระที่ได้จากการบรรยายมิได้เกิดจากการเรียนรู้ที่เกิดกับผู้เรียนโดยตรง แต่เป็นสาระ
ความรู้ที่ได้จากการบอกเล่าจากครูผู้สอน
4. ความรู้ที่ได้รับจากการฟังเพียงอย่างเดียวอาจลืมง่าย เป็นความทรงจำที่ไม่ถาวร


ที่มา  :  http://www.neric-club.com/data.php?page=10&menu_id=76
นางสาว ดวงตา เทียนหลง 
51310160 คณะวิทยาศาสตร์ เอก คณิตศาสตร์


การจัดการเรียนการสอนแบบ TGT (Teams – Games -Tournaments)

การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือตามรูปแบบ TGT เป็นการเรียนแบบร่วมมือกันแข่งขันทำกิจกรรม โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมดังนี้ 
ขั้นที่ 1ครูทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้วครั้งก่อน ด้วยการซักถามและอธิบาย ตอบข้อสงสัยของนักเรียน 
ขั้นที่ จัดกลุ่มแบบคละกัน (Home Team) กลุ่ม 3-4 คน 
ขั้นที่ แต่ละทีมศึกษาหัวข้อที่เรียนในวันนี้จากแบบฝึก (Worksheet And Answer Sheet) นัก เรียนแต่ละคนทำหน้าที่และปฏิบัติตามกติกาของCooperative Learning เช่น เป็นผู้จดบันทึก ผู้คำนวณ ผู้สนับสนุน เมื่อสมาชิกทุกคนเข้าใจและสามารถทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องทุกข้อ ทีมจะเริ่มทำการแข่งขันตอบปัญหา 
ขั้นที่ การแข่งขันตอบปัญหา (Academic Games Tournament) 

4.1
ครูทำหน้าที่เป็นผู้จัดการห้องเรียน โดยแบ่งตามความสามารถของนักเรียน เช่น 
โต๊ะที่ เป็นโต๊ะแข่งขันสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถเก่งมาก 
โต๊ะที่ และ เป็นโต๊ะแข่งขันสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถปานกลาง 
โต๊ะที่ เป็นโต๊ะที่แข่งขันสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถอ่อน 

4.2 
ครูแจกซองคำถามจำนวน 10 คำถามให้ทุกโต๊ะ (เป็นคำถามเหมือนกัน) 

4.3 
นักเรียนเปลี่ยนกันหยิบซองคำถามทีละ ซอง (คำถาม) แล้ววางลงกลางโต๊ะ 

4.4 
นักเรียน คนที่เหลือคำนวณหาคำตอบ จากคำถามที่ อ่าน 

4.3 
เขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบที่แต่ละคนมีอยู่ 

4.5 
นักเรียนคนที่ทำหน้าที่อ่านคำถามจะเป็นคนให้คะแนน โดยมีกติกาการให้คะแนน ดังนี้ 

4.5.1 
ผู้ตอบถูกเป็นคนแรก จะได้ คะแนน 

4.5.2 
ผู้ตอบถูกคนต่อไป จะได้คนละ คะแนน 

4.5.3 
ถ้าตอบผิด ให้ คะแนน 

4.6 
ทำขั้นตอนที่ 4.3 - 4.5 โดยผลัดกันอ่านคำถามจนกว่าคำถามจะหมด 

4.7 
นักเรียนทุกคนรวมคะแนนของตัวเอง โดยที่ทุกคนควรได้ตอบคำถามจำนวนเท่าๆ กัน จัดลำดับของคะแนนที่ได้ ซึ่งกำหนดโบนัสของแต่ละโต๊ะดังนี้ 
โบนัส ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดที่ 1ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส 10 แต้ม 
ผู้ที่ได้คะแนนรองที่ ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส แต้ม 
ผู้ที่ได้คะแนนรองที่ ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส แต้ม 
ผู้ที่ได้คะแนนน้อยที่สุด ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส แต้ม 
ขั้นที่ 5นักเรียนกลับมากลุ่มเดิม (Home Team) รวมแต้มโบนัสของทุกคน 
ทีมใดที่มีแต้มโบนัสสูงสุด จะให้รางวัลหรือติดประกาศไว้ในมุมข่าวของห้อง 

*****************************************************************************************************

เทคนิค TGT (Team - Games – Tournament)
เทคนิคการจัดกิจกรรม TGT เป็นเทคนิครูปแบบหนึ่งในการสอนแบบร่วมมือและมีลักษณะของกิจกรรมคล้ายกันกับ STAD แต่เพิ่มเกมและการแข่งขันเข้ามาด้วย เหมาะสำหรับการจัดการเรียนการสอนในจุดประสงค์ที่มีคำตอบถูกต้องเพียงคำตอบเดียว

องค์ประกอบ ประการ ของ TGT
1. 
การสอน เป็นการนำเสนอความคิดรวบยอดใหม่หรือบทเรียนใหม่ อาจเป็นการสอนตรงหรือจัดในรูปแบบของการอภิปราย หรือกลุ่มศึกษา 
2. 
การจัดทีม เป็นขั้นตอนการจัดกลุ่ม หรือจัดทีมของนักเรียน โดยจัดให้คละกันทั้งเพศ และความสามารถและทีมจะต้องช่วยกันและกัน ในการเตรียมความพร้อมและความเข้มแข็งให้สมาชิกทุกคน 
3. 
การแข่งขัน การแข่งขันมักจัดในช่วงท้ายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียน ซึ่งจะใช้คำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนมาในข้อ และผ่านการเตรียมความพร้อมของทีมมาแล้วการจัดโต๊ะแข่งขันจะมีหลายโต๊ะ แต่ละโต๊ะจะมีตัวแทนของกลุ่ม/ทีม แต่ละทีมมาร่วมแข่งขัน ทุกโต๊ะการแข่งขันควรเริ่มดำเนินการเพื่อนำไปเทียบหาค่าคะแนนโบนัส 
4. 
การยอมรับความสำเร็จของทีม ให้นำคะแนนโบนัสของแต่ละคนในทีมมารวมกันเป็นคะแนนของทีม และหาค่าเฉลี่ยทีมที่มีค่าสูงสุด จะได้รับการยอมรับให้เป็นทีมชนะเลิศ โดยอาจเรียกชื่อทีมที่ได้ชนะเลิศ กับรองลงมา โดยใช้ชื่อเก๋ ๆ ก็ได้ หรืออาจให้นักเรียนตั้งชื่อเอง และควรประกาศผลการแข่งขันในที่สาธารณะด้วย 

ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 
1. 
ครูสอนความคิดรวบยอดใหม่ หรือบทเรียนใหม่ โดยอาจใช้ใบความรู้ให้นักเรียนได้ศึกษา หรือใช้กิจกรรมการศึกษาหาความรู้รูปแบบอื่นตามที่ครูเห็นว่าเหมาะสม 
2. 
แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 – 5 คน เพื่อปฏิบัติตามใบงาน 
3. 
นักเรียนแต่ละกลุ่มเตรียมความพร้อมให้กับสมาชิกในกลุ่มทุกคน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนและพร้อมที่จะเข้าสู่สนามแข่งขัน 
4. 
แต่ละกลุ่มประเมินความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของสมาชิกในกลุ่ม โดยอาจตั้งคำถามขึ้นมาเองและให้สมาชิกกลุ่มทดลองตอบคำถาม 
5. 
สมาชิกกลุ่มช่วยกันอธิบายเพิ่มเติมในจุดที่บางคนยังไม่เข้าใจ 
6. 
ครูจัดให้มีการแข่งขัน โดยใช้คำถามตามเนื้อหาในบทเรียน 
7. 
จัดการแข่งขันเป็นโต๊ะ โดยแต่ละโต๊ะจะมีตัวแทนของทีมต่าง ๆ ร่วมแข่งขัน อาจให้แต่ละทีมส่งชื่อผู้แข่งขันแต่ละโต๊ะมาก่อนและเป็นความลับ 
8. 
ทุกโต๊ะแข่งขันจะเริ่มดำเนินการแข่งขันพร้อมๆกันโดยกำหนดเวลาให้ 
9. 
เมื่อการแข่งขันจบลง ให้แต่ละโต๊ะจัดลำดับผลการแข่งขัน และให้หาค่าคะแนนโบนัส 
10. 
ผู้เข้าร่วมแข่งขันกลับไปเข้ากลุ่มเดิมของตนพร้อมด้วยนำคะแนนโบนัสไปด้วย 
11. 
นักเรียนแต่ละกลุ่มนำคะแนนโบนัสของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของทีม หาค่าเฉลี่ย ที่ที่ได้ค่าเฉลี่ย (อาจใช้คะแนนโบนัสรวมกันก็ได้) สูงสุด จะได้รับการยอมรับเป็นทีมชนะเลิศและรองลงไป 
12. 
ให้ตั้งชื่อทีมชนะเลิศ และรองลงมา 
13. 
ครูประกาศผลการแข่งขันในที่สาธารณะ เช่น ปิดประกาศที่บอร์ด ลงข่าวหนังสือพิมพ์หรือประกาศหน้าเสาธง


................................................................................................................................................................

นางสาวศิริพร พึ่งทองคำ 51310566 คณะวิทยาศาสตร์ สาขาคณิตศาสตร์ 


วิธีสอนแบบแฮร์บาร์ต (Herbart Method)
1. ความหมาย
                แฮร์บาร์ต เป็นชาวเยอรมันได้คิดแนว การสอนแบบนี้ขึ้นเขามีความคิดว่า   การที่นักเรียนจะเรียนอะไรนั้นจะต้องเกิดขึ้น เพราะความสนใจเป็นเบื้องแรกการสอนควรเร้าให้นักเรียนสนใจก่อนอื่น   เมื่อนักเรียนเกิดความสนใจและมีความตั้งใจจะเรียนแล้วจึงเริ่มดำเนินการสอน เพื่อให้เรียนรู้ต่อไป
2. ขั้นตอนการสอน
1. ขั้นเตรียม   ขั้นนี้มีความมุ่งหมายที่จะเร้าให้นักเรียนเห็นความจำเป็นและเกิดความสนใจต่อผู้เรียนกระหายที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ครูสอน ด้วยวิธีเร้าความสนใจรื้อฟื้นความรู้เก่าให้ต่อกับความรู้ใหม่
2. ขั้นสอน ขั้นนี้เป็นขั้นดำเนินการสอน เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ในเรื่องต่างๆ ของบทเรียน
ครูจะถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้นักเรียน
3. ขั้นสัมพันธ์หรือขันทบทวนและเปรียบเทียบ  เป็นขั้นที่สื่อต่อจากขั้นสอนเมื่อครูสอนจบบทเรียนแล้วก็ทบทวนความรู้ที่นักเรียน เรียนไปแล้วและนำความรู้ใหม่ไปเกี่ยวกับความรู้เก่าครูจะต้องวิเคราะห์ข้อความต่างๆที่สอนไปแล้วว่ามีความแตกต่างและคล้ายคลึงกับบทเรียนเก่าอย่างไร
4. ขั้นตั้งกฎหรือขั้นสรุป มีความมุ่งหมายให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนกว้างขึ้นครูและนักเรียนจะรวบรวมและย่อความรู้ต่างๆ จากขึ้นก่อนๆ แล้วสรุปความรู้เอาไว้ตอนหนึ่งเรื่องหนึ่งให้เป็นระเบียบและจดบันทึกเอาไว้
5. ขั้นใช้  ขั้นนี้เน้นให้นักเรียนนำเอาความรู้ความเข้าใจที่ได้เรียนมาแล้วไปใช้ในสิ่งอื่นได้
3.  ข้อดีของวิธีสอนแฮร์บาร์ต
1.นักเรียนได้เรียนรู้จากความสนใจ
2.การเรียนรู้ดำเนินไปจากง่ายไปหายากตามลำดับ
3.การสร้างกฏเกณฑ์หรือข้อสรุปกระทำโดยนักเรียนและครู
4.  ข้อสังเกตของวิธีสอนแบบแฮร์บาร์ต
1.ในขั้นของการสัมพันธ์หรือทบทวนและเปรียบเทียบ ครูต้องให้โอกาสนักเรียนในการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างและคล้ายคลึงกันระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ด้วยตนเองมิใช่เกิดจากการแนะนำของครู
2. ครูควรเน้นย้ำให้นักเรียนจดบันทึกความรู้ตามลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายาก

แหล่งที่มาของข้อมูล               http://www.212cafe.com/freewebboard/viewcomment.php?aID=2054137&user=edtech11&id=320&page=2&page_limit=25
                นางสาวนันทิวา   นวลจันทร์  51313666 


วิธีสอนแบบศึกษาด้วยตนเอง (Self Study Method)


ชื่อ       วิธีสอนแบบศึกษาด้วยตนเอง (Self Study Method)
ความหมาย  :  วิธีสอบแบบศึกษาด้วยตนเองเป็นวิธีสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองที่นอกเหนือจากในหนังสือเรียน
เป้าหมาย  :  เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยได้รับคำแนะนำของครู เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยการแสดงความคิดเห็นในกลุ่ม และหาข้อสรุป
ขั้นตอนของวิธีสอนแบบศึกษาด้วยตนเอง   :
1. จัดนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ หรืออาจเป็นผู้เรียนคนเดียวศึกษาค้นคว้าตามลำพังโดยมีหัวข้อให้ไปค้นคว้า
2. ครูกระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นและให้คำแนะนำให้มีการร่วมมือกันในการวางแผนที่จะศึกษาค้นคว้าในเรื่องต่างๆ
3.คอยดูแลและให้ความช่วยเหลือในการศึกษาจัดหาและเสนอแนะแหล่งความรู้ได้แก่วัสดุหนังสือและสิ่งพิมพ์อื่นๆ
4.นักเรียนเขียนรายงานผลการวินิจฉัยปัญหา  
 ข้อดี  :
1.ช่วยพัฒนาสติปัญญา ส่งเสริมนิสัยในการวิเคราะห์ข้อมูลและการตัดสินใจ การเลือกวิธีแก้ปัญหา
2.ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักที่จะควบคุมการทำงานของตนเองได้
3.สร้างนิสัยรักการศึกษาค้นคว้า และความรับผิดชอบตนเอง
ข้อเสีย  :     วิธีนี้อาจจะไม่ได้ผล ถ้าผู้เรียนขาดความรับผิดชอบและไม่ตั้งใจจริง
วิพากษ์วิจารณ์   รูปแบบการสอนนี้มีความเหมาะสมกับวิชาคณิตศาสตร์อยู่มากเพราะบ้างครั้งการที่ได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมด้วนตนเองจะทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการแก้ปัญหาต่างๆได้ง่ายขึ้น    แต่การสอนแบบนี้ทดสอบได้ยากและเห็นผลช้า
ที่มา  :   http://www.neric-club.com/data.php?page=12&menu_id=76
นางสาวนารินทร์  เวกสูงเนิน 51313673


รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม
(Group Investigation Instructional Model)

1. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
จอยส์ และ วีล (Yoyce & Weil, 1996: 80-88) เป็นผู้พัฒนารูปแบบนี้จากแนวคิดหลักของเธเลน (Thelen) แนวคิด คือแนวคิดเกี่ยวกับการสืบเสาะแสวงหาความรู้(inquiry) และแนวคิดเกี่ยวกับความรู้ (knowledge) เธเลนได้อธิบายว่า สิ่งสำคัญที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกหรือความต้องการที่จะสืบค้นหรือเสาะแสวงหาความรู้ก็คือตัวปัญหา แต่ปัญหานั้นจะต้องมีลักษณะที่มีความหมายต่อผู้เรียนและท้าทายเพียงพอที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะแสวงหาคำตอบ นอกจากนั้นปัญหาที่ชวนให้เกิดความงุนงงสงสัย หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด จะยิ่งทำให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะเสาะแสวงหาความรู้หรือคำตอบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมนุษย์อาศัยอยู่ในสังคม ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม เพื่อสนองความต้องการของตนทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคม ความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลหรือในกลุ่ม จึงเป็นสิ่งที่บุคคลต้องพยายามหาหนทางขจัดแก้ไขหรือจัดการทำความกระจ่างให้เป็นที่พอใจหรือยอมรับทั้งของตนเองและผู้เกี่ยวข้อง ส่วนในเรื่อง ความรู้” นั้น เธเลนมีความเห็นว่า ความรู้เป็นเป้าหมายของกระบวนการสืบสอบทั้งหลาย ความรู้เป็นสิ่งที่ได้จากการนำประสบการณ์หรือความรู้เดิมมาใช้ในประสบการณ์ใหม่ ดังนั้น ความรู้จึงเป็นสิ่งที่ค้นพบผ่านกระบวนการสืบสอบโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์

2. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาทักษะในการสืบสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจ โดยอาศัยกลุ่มซึ่งเป็นเครื่องมือทางสังคมช่วยกระตุ้นความสนใจหรือความอยากรู้และช่วยดำเนินงานการแสวงหาความรู้หรือคำตอบที่ต้องการ

3. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ที่ชวนให้งุนงงสงสัย
  ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ใช้ในการกระตุ้นความสนใจและความต้องการในการสืบสอบและแสวงหาความรู้ต่อไปนั้น ควรเป็นปัญหาหรือสถานการณ์ที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความสนใจของผู้เรียน และจะต้องมีลักษณะที่ชวนให้งุนงงสงสัย เพื่อท้าทายความคิดและความใฝ่รู้ของผู้เรียน

ขั้นที่ 2 ให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาหรือสถานการณ์นั้น
   ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และพยายามกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกต่างทางความคิดขึ้น เพื่อท้าทายให้ผู้เรียนพยายามหาทางเสาะแสวงหาข้อมูลหรือวิธีการพิสูจน์ทดสอบความคิดของตน เมื่อมีความแตกต่างทางความคิดเกิดขึ้น ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนที่มีความคิดเห็นเดียวกันรวมกลุ่มกัน หรืออาจรวมกลุ่มโดยให้แต่ละกลุ่มมีสมาชิกที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันก็ได้
ขั้นที่ 3 ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนในการแสวงหาความรู้
   เมื่อกลุ่มมีความคิดเห็นแตกต่างกันแล้ว สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันวางแผนว่า จะแสวงหาข้อมูลอะไร กลุ่มจะพิสูจน์อะไร จะตั้งสมมติฐานอะไร กลุ่มจำเป็นต้องมีข้อมูลอะไร และจะไปแสวงหาที่ไหนหรือจะได้ข้อมูลนั้นมาได้อย่างไร จะต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว จะวิเคราะห์อย่างไร และจะสรุปผลอย่างไร ใครจะช่วยทำอะไร จะใช้เวลาเท่าใด ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการกลุ่ม ผู้สอนทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่ผู้เรียน รวมทั้งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผน แหล่งความรู้ และการทำงานร่วมกัน

ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนดำเนินการแสวงหาความรู้
   ผู้เรียนดำเนินการเสาะแสวงหาความรู้ตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ ผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวก ให้คำแนะนำและติดตามการทำงานของผู้เรียน

ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลข้อมูล นำเสนอและอภิปรายผล
   เมื่อกลุ่มรวบรวมข้อมูลได้มาแล้ว กลุ่มทำการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ต่อจากนั้นจึงให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผล อภิปรายผลร่วมกันทั้งชั้น และประเมินผลทั้งทางด้านผลงานและกระบวนการเรียนรู้ที่ได้รับ

ขั้นที่ 6 ให้ผู้เรียนกำหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการสืบเสาะหาคำตอบต่อไป
   การสืบสอบและเสาะแสวงหาความรู้ของกลุ่มตามขั้นตอนข้างต้นช่วยให้กลุ่มได้รับความรู้ ความเข้าใจ และคำตอบในเรื่องที่ศึกษา และอาจพบประเด็นที่เป็นปัญหาชวนให้งุนงงสงสัยหรืออยากรู้ต่อไป ผู้เรียนสามารถเริ่มต้นวงจรการเรียนรู้ใหม่ ตั้งแต่ขั้นที่ 1 เป็นต้นไป การเรียนการสอนตามรูปแบบนี้ จึงอาจมีต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ตามความสนใจของผู้เรียน

4. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถสืบสอบและเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เกิดความใฝ่รู้และมีความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้น และได้พัฒนาทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการทำงานกลุ่ม


     ข้อดี
1.เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีความหมายสำหรับผู้เรียน เพราะผู้เรียนเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าหาแนวทางและเรียนรู้ด้วยตนเอง
2.ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ทักษะและกระบวนการต่างๆ ในการเรียนรู้
ทักษะทางปัญญา ผู้เรียนได้ใช้ความคิดและสติปัญญาในการหาข้อมูลแสดงเหตุผลอย่างอิสระ
ทักษะทางสังคม ทำให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อมั่น กล้าคิดกล้าแสดงออก หรือรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
ทักษะทางการปฏิบัติ เป็นการปลูกฝังให้ผู้เรียนเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน มีความรอบคอบ รู้จักการสังเกต ไม่เชื่ออะไรง่ายๆโดยไม่ได้ตรวจสอบก่อน

    ข้อเสีย
1.เป็นวิธีการเรียนการสอนที่ใช้เวลามากพอสมควร
2.ผู้สอนจะต้องคอยดูแล ช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด การเรียนรู้จึงจะได้ผลดี
                3.ผู้เรียนจะต้องมีความกระตือรือร้นในการเรียน

ที่มา : จอยส์ และ วีล (Yoyce & Weil, 1996: 80-88)



นางสาวชุติมา ฉุนอิ่ม รหัสนิสิต 51310092
คณะวิทยาศาสตร์  สาขาวิชาคณิตศาสตร์


วิธีการสอนแบบค้นพบโดยใช้ทักษะ 
วิธีการสอนคณิตศาสตร์ด้วย วิธีการสอนแบบค้นพบโดยใช้ทักษะ เป็นการนำทฤษฎีการสอนของ เจอร์รูม บรูเนอร์ (Jerome Bluner) ผู้สนับสนุนวิธีการสอนแบบค้นพบ และทฤษฎีการเรียนรู้โดยการกระทำของ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) โดยนำวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบมาประยุกต์ให้เป็นวิธีการสอน เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนแสวงหาคำตอบ และการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และสามารถนำทักษะกระบวนการไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ ซึ่งวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มาจากแนวคิดดังกล่าวประกอบด้วย
1. วิธีสอนแบบค้นพบ (Discovery Method)
2. กระบวนการเรียนรู้แบบค้นพบ (Discovery Learning Process: DLP)โดยใช้ทักษะ 7 ส
ความหมาย
วิธีการสอนแบบค้นพบโดยใช้ทักษะ ส คือ กระบวนการสอนที่ครูใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยการนำตัวอย่าง ข้อมูล ความคิด เหตุการณ์ สถานการณ์ ปัญหา หรือ ความคิดรวบยอด ข้อสรุป กฎเกณฑ์ มาให้ผู้เรียนใช้ทักษะสงสัย สังเกต สัมผัส สำรวจ สืบค้น สั่งสม และสรุปผล ในการค้นคว้าหาข้อสรุป หรือหาหลักการ แนวคิด ด้วยตนเอง
วัตถุประสงค์
วิธีการสอนแบบค้นพบโดยใช้ทักษะ ส เป็นวิธีการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนฝึกใช้ทักษะสงสัย สังเกต สัมผัส สำรวจ สืบค้น สั่งสม และสรุปผล เป็นกระบวนการในการคิดหาคำตอบ หาข้อสรุป ได้ด้วยตนเอง
ขั้นตอนการสอน
 1. ขั้นนำ
Ø ทักษะสงสัย
Ø ทักษะสังเกต
2. ขั้นสอน
Ø ทักษะสัมผัส
Ø ทักษะสำรวจ
Ø ทักษะสืบค้น
3. ขั้นฝึกทักษะ
Ø ทักษะสั่งสม
4. ขั้นสรุปผล
Ø ทักษะสรุปผล
รายละเอียดของขั้นตอนการสอน        
1.            ขั้นนำ
Ø  สงสัย  ( การนำเข้าสู่บทเรียน ครูสร้างสถานการณ์หรือคำถามให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยในเรื่องที่จะเรียน )
Øสังเกต ( ฝึกให้ผู้เรียนมองหารายละเอียดของเรื่องที่เกิดความสงสัย )
2.            ขั้นสอน
Øสัมผัส ( ฝึกให้ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสทั้ง ในการเรียนรู้ )
Ø  สำรวจ ( ฝึกให้ผู้เรียนมองหาความสัมพันธ์ ความเชื่อมโยง ความเกี่ยวข้องของเรื่องที่จะเรียน )
Ø  สืบค้น ( ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ หลักการ แนวคิด )
3.            ขั้นฝึกทักษะ
Ø  สั่งสม ( ให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองสู่ความชำนาญโดยการนำแนวคิดมาใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย )
4.            ขั้นสรุป
Ø   สรุปผล ( ให้ผู้เรียนรวบรวมแนวคิดมาสรุปเป็นองค์ความรู้ด้วยตนเอง )

ข้อดีของวิธีการสอนแบบค้นพบโดยใช้ทักษะ 
1.            เป็นวิธีการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบ หาข้อสรุป และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
2.            ผู้เรียนได้มีทักษะในการให้เหตุผลและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์


แหล่งที่มา www.pracharach.ac.th/vichakarn/vichakarn1.doc

            นางสาวพรรณรัตน์ กาบขุนทด รหัสนิสิต 51310375
            คณะวิทยาศาสตร์  สาขาวิชาคณิตศาสตร์



การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย (Deductive  Method) 

แนวคิด
                กระบวนการที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎ ทฤษฎีหลักเกณฑ์ ข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปตามวัตถุประสงค์ในบทเรียน  จากนั้นจึงให้ตัวอย่างหลายๆตัวอย่าง  หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกการนำทฤษฎี  หลักการ  หลักเกณฑ์  กฎหรือข้อสรุปไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย หรืออาจเป็นหลักลักษณะให้ผู้เรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยันทฤษฎี  กฎหรือข้อสรุปเหล่านั้น การจัดการเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล  ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ  และมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์ทฤษฎี  ข้อสรุปเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง การสอนแบบนี้อาจกล่าวได้ว่า  เป็นการสอนจากทฤษฎีหรือกฎไปสูตัวอย่างที่เป็นรายละเอียด

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การสอนแบบนิรนัยมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
1.             ขั้นกำหนดขอบเขตของปัญหา  เป็นการนำเข้าสูบทเรียนโดยการเสนอปัญหาหรือระบุสิ่งที่
จะสอนในแง่ของปัญหา  เพื่อยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ  ปัญหาที่จะนำเสนอควรจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของชีวิตและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
2.             ขั้นแสดงและอธิบายทฤษฎี  หลักการ  เป็นการนำเอาทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุปที่ต้องการสอนมาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทฤษฎี  หลักการนั้น
3.             ขั้นใช้ทฤษฎี  หลักการ  เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะเลือกทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุป  ที่ได้จากการเรียนรู้มาใช้ในการแก้ปัญหาที่กำหนดไว้ได้
4.             ขั้นตรวจสอบและสรุป  เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะตรวจสอบและสรุปทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุปหรือนิยามที่ใช้ว่าถูกต้อง  สมเหตุสมผลหรือไม่  โดยอาจปรึกษาผู้สอน  หรือค้นคว้าจากตำรต่างๆ  หรือจากการทดลอง  ข้อสรุปที่ได้พิสูจน์หรือตรวจสอบว่าเป็นจริง  จึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
5.             ขั้นฝึกปฏิบัติ  เมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจในทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุป  พอสมควรแล้ว
ผู้สอนเสนอสถานการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนฝึกนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆที่หลากหลาย

ประโยชน์
1.             เป็นวิธีการที่ช่วยในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้ง่าย  รวดเร็วและไม่ยุ่งยาก 
2.             ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ไม่มากนัก 
3.             ฝึกให้ผู้เรียนรู้ได้นำเอาทฤษฎี  หลักการ  กฎ  ข้อสรุปหรือนิยามไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ 
4.             ใช้ได้ผลดีในการจัดการเรียนรู้วิชาศิลปศึกษาและคณิตศาสตร์ 
5.             ฝึกให้ผู้เรียนมีเหตุผล  ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ  โดยไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง

การวิพาทวิจารณ์
                 รูปแบบการสอนแบบนิรนัยมีความเหมาะสมที่จะใช้ในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เพราะรูปแบบดังกล่าวเป็นรูปแบบที่เน้นกระบวนการ
ที่ให้ผู้สอนจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎ ทฤษฎี หลักเกณฑ์ ข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปตามวัตถุประสงค์ในบทเรียน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับกฎ ทฤษฎี หลักเกณฑ์ ข้อสรุปหรือนิยาม ซึ่งดังนั้นการจัดการสอนควรจะเน้นให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจทฤษฎีต่างให้มาก เพื่อนที่ผู้เรียนจะได้สามารถนำไปใช้ที่ถูกต้อง

ที่มา : สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ UTQ-204 : คณิตศาสตร์ สำหรับชั้นมัธยมศึกษา
https://sites.google.com/site/khunkrunong/n9
น.ส. 


วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case)
วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง  คือ  กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนศึกษาเรื่องที่สมมติขึ้นมาจากความจริง และตอบประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วนำคำตอบและเหตุผลที่มาของคำตอบมาอภิปราย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์

เป้าหมายของวิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case)
วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง เป็นวิธีการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนฝึกฝนการเผชิญและแก้ปัญหาโดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาจริง ทำให้สามารถคิดวิเคราะห์วิธีการแก้ปัญหาได้อย่างละเอียดและรอบคอบ ทำให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น

ลำดับขั้นตอนวิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง         
                   -ขั้นเตรียมการ ก่อนสอนผู้สอนจำเป็นต้องเตรียมกรณีตัวอย่างให้พร้อม และกรณีตัวอย่างจะต้องมีความเหมาะสม มีลักษณะใกล้เคียงกับความจริง
                   -การนำเสนอกรณีตัวอย่าง ผู้สอนอาจเป็นผู้นำเสนอกรณีตัวอย่าง หรืออาจใช้เรื่องจริงจากผู้เรียนเป็นกรณีตัวอย่าง มีวิธีการนำเสนอได้หลายวิธี เช่น การพิมพ์มาให้ผู้เรียนอ่าน การเล่าให้ฟัง หรือการนำเสนอโดยใช้สื่อ
                   -การอภิปราย ผู้สอนควรแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยและให้เวลาอย่างเพียงพอในการศึกษา แล้วจึงร่วมอภิปรายเป็นกลุ่มและนำเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่ม

ข้อดีของวิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง  
1) เป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา ช่วยให้มีมุมมองกว้างขึ้น
2) เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกแก้ปัญหา เพื่อที่จะได้เกิดความพร้อมหากได้เจอสถานการณ์จริง
3) หากผู้เรียนมีประสบการณ์การเรียนรู้ที่ต่างกันจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกัน

ข้อเสียของวิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง      
1) หากผู้เรียนมีประสบการณ์ไม่ต่างกัน การเรียนรู้อาจไม่กว้างขว้าง2) การแก้ปัญหาที่สมมติขึ้นมาอาจใช้ไม่ได้จริงกับสถานการณ์จริง


น.ส.วารุณี  รุ่งแตง  รหัสนิสิต 51310504 
สาขาวิชาคณิตศาสตร์   คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยนเรศวร



รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

รูปแบบการเรียนรู้โมเดลซิปปา (CIPPA MODEL)

               รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (Cippa  Model) หรือรูปแบบการประสานห้าแนวคิด พบว่าแนวคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา  จึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกันเกิดเป็นแบบแผนขึ้น แนวคิดดังกล่าวได้แก่ แนวคิดการสร้างความรู้  แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และแนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้ เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย  อารมณ์  สติปัญญาและสังคม 

เป้าหมาย :โดยหลักการของโมเดลซิปปา ได้ยึดหลักการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ในตัว

หลักการ คือ การช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด  มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกัน  มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์  ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับการผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิด  Constructivism.

        ความหมายของ  CIPPA  
                C   มาจากคำว่า   Construct  หมายถึง การสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructiviism. กล่าวคือ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง ทำความเข้าใจ  เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายแก่ตนเอง  และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง  เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา               
                   I  มาจากคำว่า   Interaction  หมายถึง  การช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล  และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ได้รู้จักกันและกัน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดประสบการณ์  แก่กันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนทางสังคม                 
                   P  มาจากคำว่า   Physical  Participation   หมายถึง การช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย ให้ผู้เรียนมีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่างๆ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย
                 P  มาจากคำว่า  Process   Learning   หมายถึง การเรียนรู้ กระบวนการ ต่างๆ ของกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต                 
                  A  มาจากคำว่า  Application หมายถึง การนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้  ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน เป็นการช่วยผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งในสังคม  และชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆจากแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หลักของโมเดลซิปปา (CIPPA  MODEL)  ซึ่งได้รูปแบบการเรียนการสอนซึ่งสามารถประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน
มีขั้นตอนสำคัญดังนี้
 1.ขั้นทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้ของผู้เรียนในเรื่องที่เรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน
 2. ขั้นแสวงหาความรู้ใหม่   ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูล ความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่มีจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งครูอาจเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้    
              3. ขั้นการศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนเผชิญปัญหา และทำความเข้าใจกับข้อมูล ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่นใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปผลความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงความรู้เดิม มีการตรวจสอบความเข้าใจต่อตนเองหรือกลุ่ม โดยครูใช้สื่อและย้ำมโนมติในการเรียนรู้               
                4. ขั้นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม   ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือ ในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนเอง รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนเองแก่ผู้อื่นและได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆกัน               
                 5. ขั้นการสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และจัดสิ่งที่เรียนรู้ให้เป็นระบบระเบียบ เพื่อช่วยให้จดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย   
   6. ขั้นการแสดงผลงาน  ขั้นนี้เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้แสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนตอกย้ำ หรือตรวจสอบ  เพื่อช่วยให้จดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
  7. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นนี้เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ ความเข้าใจของตนเองไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้น   การวิพากษ์ วิจารณ์

รูปแบบการเรียนรู้โมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) น่าจะเหมาะสมที่สุดเพราะ ในรูปแบบนี้จะเน้นตัวนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญและ อาจารย์มีการสอนแบบเอาความรู้เดิมมาทบทวน แล้วค่อยสอนความรู้ใหม่ให้แก่นักเรียนแล้วอธิบายถึงความหมายหรือให้นักเรียนคิดและหาความหมายของเรื่องนั้นๆ แล้วสรุปออกมาเป็นความเข้าใจของเราเอง ดังนั้นแล้วได้เอาความรู้เก่ากับความรู้ใหม่มาใช้รวมกันให้เกิดประโยชน์ มากขึ้นและให้เกิดความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น

ดังนั้นจึงคิดว่ารูปแบบของรูปแบบการเรียนรู้โมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) เหมาะสมที่สุดในการนำรูปแบบนี้มาให้กับคณิตศาสตร์
………………………………………………………………………………………………………………
ที่มาโดย
นาย ภาณุพงศ์ แสงดี  ศึกษานิเทศก์  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 4
แหล่งอ้างอิง
http://www.gotoknow.org/blog/kuto3867/135072
รองศาสตราจารย์ ทิศนา  แขมมณี. (2542). ศาสตร์การสอนกรุงเทพ ฯ : ไทยวัฒนาพาณิช. 
จัดทำโดย : นางสาว อัจฉรา  นรกิจ  51310672 เอกคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร



รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ (Harrow)

แฮร์โรว์ (Harrow. 1972: 96-99) ได้จัดลำดับขั้นของการเรียนรู้ทางด้านทักษะปฏิบัติ โดยเริ่มจากระดับที่ซับซ้อนน้อยไปจนถึงระดับที่มีความซับซ้อนมาก ซึ่งกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบมีทั้งหมด ขั้น คือ
ระเบียบวิธีการสอน(Methodology)
1. ขั้นการเลียนแบบ เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนสังเกตการกระทำที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ซึ่งผู้เรียนย่อมจะรับรู้หรือสังเกตเห็นรายละเอียดต่างๆได้ไม่ครบถ้วน แต่อย่างน้อยผู้เรียนจะสามารถบอกได้ว่า ขั้นตอนหลักของการกระทำนั้น ๆ มีอะไรบ้าง
2. ขั้นการลงมือกระทำตามคำสั่ง เมื่อผู้เรียนได้เห็นและสามารถบอกขั้นตอนของการกระทำที่ต้องการเรียนรู้ แล้ว ให้ผู้เรียนลงมือทำโดยไม่มีแบบอย่างให้เห็น ผู้เรียนอาจลงมือทำตามคำสั่งของผู้สอน หรือทำตามคำสั่งที่ผู้สอนเขียนไว้ในคู่มือก็ได้ การลงมือปฏิบัติตามคำสั่งนี้ แม้ผู้เรียนจะยังไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยผู้เรียนก็ได้ประสบการณ์ในการลงมือทำ และค้นพบปัญหาต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้ และการปรับการกระทำให้ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้น
3. ขั้นการกระทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์ (Precision) ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝนจนสามารถทำสิ่งนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องมีแบบอย่างหรือมีคำสั่งนำทางการกระทำ การกระทำที่ถูกต้องแม่นยำตรง พอดี สมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องสามารถทำได้ในขั้นนี้
4. ขั้นการแสดงออก (Articulation) ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนมีโอกาสได้ฝึกฝนมากขึ้น จนกระทั่งสามารถกระทำ สิ่งนั้นได้ถูกต้องสมบูรณ์แบบอย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว ราบรื่น และด้วยความ มั่นใจ
5. ขั้นการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถกระทำสิ่งนั้น ๆ อย่างสบายเป็นไปอย่างอัตโนมัติโดยไม่รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติบ่อย ๆ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย
ข้อดี        1.นักเรียนสามารถฝึกและปฎิบัติเองได้
2.ผู้เรียนก็ได้ประสบการณ์ในการลงมือทำ และค้นพบปัญหาต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้
ข้อเสีย    1.ผู้เรียนจะรับรู้หรือสังเกตเห็นรายละเอียดต่างๆได้ไม่ครบถ้วน 
แหล่งที่มา: http://home.dsd.go.th/techno/trainingsystem/index.php?option=com_content&view=article&id=46:harrow&catid=45:psychomotor&Itemid=52

 นางสาวกัญญา  หมั่นเขตกิจ  51310023
เอกคณิตศาสตร์  คณะวิทยาศาสตร์
เทคนิคการสอนแบบอุปนัย ( Inductive Method ) 


ความหมาย วิธีสอนแบบอุปนัย

        เป็นการสอนจากรายละเอียดปลีกย่อยไปหากฎเกณฑ์ กล่าวคือ เป็นการสอนแบบย่อยไปหาส่วนรวมหรือสอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ หลักการ ข้อเท็จจริง หรือข้อสรุป โดยการให้นักเรียนทำการศึกษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบ แล้วพิจารณาค้นหาองค์ประกอบที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่างต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นข้อสรุป

ความมุ่งหมายและวิธีสอนแบบอุปนัย

       เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบกฎเกณฑ์หรือความจริงที่สำคัญ ๆ ด้วยตนเองกับให้เข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของความคิด ต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ตลอดจนกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักการทำการสอบสวนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง

ขั้นตอนในการสอนแบบอุปนัย


1. ขั้นเตรียม คือ การเตรียมตัวนักเรียน เป็นการทบทวนความรู้เดิม กำหนด จุดมุ่งหมาย และอธิบายความมุ่งหมายให้นักเรียนได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

2. ขั้นสอนหรือขั้นแสดง คือ การเสนอตัวอย่างหรือกรณีต่าง ๆ ให้นักเรียนได้พิจารณา เพื่อให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบ สรุปกฎเกณฑ์ได้ การเสนอตัวอย่าง ควรเสนอหลายๆ ตัวอย่างให้มากพอที่จะสรุปกฎเกณฑ์ได้ ไม่ควรเสนอเพียงตัวอย่างเดียว

3. ขั้นเปรียบเทียบและรวบรวม เป็นขั้นหาองค์ประกอบรวม คือ การที่นักเรียนได้มีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุปกฎเกณฑ์ไม่ควรรีบร้อนหรือเร่งเร้าเด็กเกินไป

4. ขั้นสรุป คือ การนำข้อสังเกตต่าง ๆ จากตัวอย่างมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ นินามหลักการ หรือสูตร ด้วยตัวนักเรียนเอง

5. ขั้นนำไปใช้ คือ ขั้นทดลองความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์หรือข้อสรุปที่ได้มาแล้วว่าสามารถที่จะนำไปใช้ในปัญหาหรือแบบฝึกหัดอื่น ๆ ได้หรือไม่


ข้อดี
1. จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งและจำได้นาน
2. ฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดตามหลักตรรกศาสตร์ และหลักวิทยาศาสตร์
3. ให้นักเรียนเข้าใจวิธีการในการแก้ปัญหา และรู้จักวิธีทำงานที่ถูกต้องตามหลักจิตวิทยา


ข้อจำกัด
1. ไม่เหมาะสมที่จะใช้สอนวิชาที่มีคุณค่าทางสุนทรียะ
2. ใช้เวลามาก อาจทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่าย
3. ทำให้บรรยากาศการเรียนเป็นทางการเกินไป
4. ครูต้องเข้าใจในเทคนิควิธีสอนแบบนี้อย่างดี จึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ในการสอน


ที่มา http://news4teacher.blogspot.com/2010/04/inductive-method.html

นางสาว วรรณนิศา อิ่มดี  ( 51310467 )  คณะวิทยาศาสตร์   เอกคณิตศาสตร์



การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน
แนวคิด
          เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเริ่มต้นจากการมองเห็นปัญหา โดยสร้างความรู้จากกระบวนการทำงานกลุ่ม และทำความเข้าใจกับปัญหานั้น เพื่อที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหาด้วยเหตุผล  และค้นหาข้อมูลที่จะใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
1. กำหนดปัญหาจัดสถานการณ์ต่าง ๆ  กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ มองเห็นปัญหา และต้องการค้นหาคำตอบ
2. ทำความเข้าใจกับปัญหา ผู้เรียนจะต้องสามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อกับปัญหาได้
3. ดำเนินการศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนต้องหาข้อมูลที่หลากหลายที่จะใช้ในการแก้ปัญหา
4. สังเคราะห์ความรู้ ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ค้นคว้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน อภิปรายผลและสังเคราะห์ความรู้ที่ได้มาว่ามีความเหมาะสมหรือไม่
5. สรุป และประเมินค่าของคำตอบ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มสรุปผลงานของกลุ่มตนเอง ประเมินผลงานว่าข้อมูลที่ได้ศึกษาค้นคว้ามีความเหมาะสมเพียงใด โดยการตรวจสอบแนวคิดภายในกลุ่มของตนเองอย่างอิสระ
6. นำเสนอและประเมินผลงาน ผู้เรียนนำข้อมูลที่ได้มาจัดระบบองค์ความรู้และนำเสนอในรูปแบบผลงานที่หลากหลาย
ประโยชน์
                มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้โดยการชี้นำตนเอง ซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยการแก้ปัญหาอย่างมีความหมายต่อผู้เรียน
ข้อดี
1.     ผู้เรียนเกิดกระบานการเรียนรู้ ทางการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ปัญหาที่เกิดขึ้นได้
2.     ผู้เรียนสามารถเข้าใจกับปัญหา และแก้ปัญหาได้ เช่น ถ้ามีโจทย์ปัญหามาให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเกี่ยวกับโจทย์ปัญหาว่า ต้องการให้ทำอะไร แล้วเราก็แก้โจทย์ปัญหาตามสิ่งที่โจทย์ต้องการนั้น
3.     ผู้เรียนเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กันภายในกลุ่มและนอกกลุ่ม
นางสาวสุมลรัตน์  ศรีแก้ว 51310610


รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ (Memory Model)
วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์ช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระที่เรียนรู้ได้ดีและได้นานและได้เรียนรู้กลวิธีการจำ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีก

ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลัก 6 ประการเกี่ยวกับ
1)   การตระหนักรู้ (awareness) ซึ่งกล่าวว่า การที่บุคคลจะจดจำสิ่งใดได้ดีนั้น
จะต้องเริ่มจากการรับรู้สิ่งนั้น หรือการสังเกตสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ
2)   การเชื่อมโยง (association) กับสิ่งที่รู้แล้วหรือจำได้
3)  ระบบการเชื่อมโยง (link system) คือระบบในการเชื่อมความคิดหลายความคิดเข้าด้วยกันในลักษณะที่ความคิดหนึ่งจะไปกระตุ้นให้สามารถจำอีกความคิดหนึ่งได้
4)  การเชื่อมโยงที่น่าขบขัน (ridiculous association) การเชื่อมโยงที่จะช่วยให้
บุคคล จดจำได้ดีนั้น มักจะเป็นสิ่งที่แปลกไปจากปกติธรรมดา การเชื่อมโยงในลักษณะที่แปลก เป็นไปไม่ได้ ชวนให้ขบขัน มักจะประทับในความทรงจำของบุคคลเป็นเวลานาน
5)  ระบบการใช้คำทดแทน
6)  การใช้คำสำคัญ (key word) ได้แก่ การใช้คำ อักษร หรือพยางค์เพียงตัวเดียว เพื่อช่วยกระตุ้นให้จำสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวกันได้

กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
 ขั้นที่ 1 การสังเกตหรือศึกษาสาระอย่างตั้งใจ ผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนตระหนักรู้ในสาระที่เรียน โดยการใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น ให้อ่านเอกสารแล้วขีดเส้นใต้คำ/ประเด็นที่สำคัญ ให้ตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน ให้หาคำตอบของคำถามต่าง ๆเป็นต้น
ขั้นที่ 2 การสร้างความเชื่อมโยง   เมื่อผู้เรียนได้ศึกษาสาระที่ต้องการเรียนรู้แล้ว ให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหาส่วนต่าง ๆที่ต้องการจดจำกับสิ่งที่ตนคุ้นเคย เช่น กับคำ ภาพ หรือความคิดต่าง หรือให้หาหรือคิดคำสำคัญ ที่สามารถกระตุ้นความจำในข้อมูลอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกัน
            ขั้นที่ 3 การใช้จินตนาการ เพื่อให้จดจำสาระได้ดีขึ้น ให้ผู้เรียนใช้เทคนิคการเชื่อมโยงสาระต่าง ๆ ให้เห็นเป็นภาพที่น่าขบขัน เกินความเป็นจริง
           ขั้นที่ 4 การฝึกใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ทำไว้ข้างต้นในการทบทวนความรู้และเนื้อหาสาระต่างๆ จนกระทั่งจดจำได้

ข้อดี
ช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำเนื้อหาสาระต่างๆ ที่เรียนได้ดีและได้นานแล้ว ยังช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กลวิธีการจำ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่นๆได้อีกมาก

http://sirikase.blogspot.com/2011_01_01_archive.html

นางสาวอารยา  บุญตา  51310696  เอกคณิตศาสตร์  คณะวิทยาศาสตร์

ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Connectionism)
        

            ธอร์นไดค์ (Thorndike) ได้กล่าวว่าการเรียนรู้คือ การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยง (Bond) ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง ซึ่งได้รับความพึงพอใจจะทำให้เกิดการเรียนรู้ และได้ข้อสรุปว่า การเรียนรู้เกิดจากการลองผิดลองถูกโดยเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการที่มองเห็นความต่อเนื่องของปัญหา หรือมองเห็นการเชื่อมโยง หรือเกี่ยวข้อง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก ผู้เรียนต้องอาศัยเวลาหรือจำนวนครั้งของการลองผิดลองถูกมากเพียงพอ จึงจะนำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้สำเร็จ

ขั้นตอน

1. กฎแห่งความพร้อม 
         ความพร้อม หมายถึง ผู้เรียนมีความเจริญพร้อมทั้งทางกายใจ มีการปรับตัวเตรียมพร้อมมีความตั้งใจ ความสนใจและมีทัศนคติอันจะก่อให้เกิดการกระทำขึ้นภาวะที่สมบูรณ์ ดังนั้นก่อนที่ผู้สอนจะสอนจะต้องสำรวจและศึกษาความพร้อมของผู้เรียนเตรียมผู้เรียนให้พร้อมก่อนให้การศึกษาจัดบทเรียนสนองต่อความต้องการของผู้เรียน สอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
 2. กฎแห่งการฝึกหัด
            เน้นว่า การกระทำซ้ำๆ บ่อยๆจะทำให้การเรียนรู้ นั้นๆแน่นแฟ้นขึ้น แต่ถ้าพฤติกรรมใดแม้เกิดการเรียนรู้แล้วแต่ขาดการกระทำซ้ำบ่อยๆจะทำให้การเรียนรู้นั้นๆ มีความเข้มน้อยลงไปและอาจไม่ได้ผลเท่าเดิม

3. กฎแห่งผล

           กฎนี้ให้ความสำคัญกับผลที่ได้หลังจากการตอบสนองแล้ว ถ้าผลที่ได้เป็นที่น่าพึงพอใจ บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมมากยิ่งขึ้นตรงกันข้าม ถ้าผลที่ได้จากการตอบสนองไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมนั้นลดลง


ประโยชน์

1. ทำให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมก่อนเรียน
2. ทำให้ผู้เรียนมีความคล่องแคล่วและชำนาญจากการได้ฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอ
3. เกิดประสบการณ์การเรียนรู้ เนื่องจากมีการลองผิดลองถูก
4. ทำให้ผู้เรียนรับรู้ความสามารถของตนเองและนำผลที่ได้ไปปรับปรุงแก้ไขตนเอง
แหล่งที่มาของข้อมูล            
 http://www.novabizz.com/NovaAce/Learning/Connectionism_Theory.htm
 http://kasama26.blogspot.com/2010/11/thorndike-connectionism-theory-bond.html
 http://hlinzaii.50webs.com/j7_4.htm

โดย  นางสาวณัฏฐา  รัตนเสถียร   วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์  51310139


ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Connectionism)
        

            ธอร์นไดค์ (Thorndike) ได้กล่าวว่าการเรียนรู้คือ การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยง (Bond) ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง ซึ่งได้รับความพึงพอใจจะทำให้เกิดการเรียนรู้ และได้ข้อสรุปว่า การเรียนรู้เกิดจากการลองผิดลองถูกโดยเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการที่มองเห็นความต่อเนื่องของปัญหา หรือมองเห็นการเชื่อมโยง หรือเกี่ยวข้อง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก ผู้เรียนต้องอาศัยเวลาหรือจำนวนครั้งของการลองผิดลองถูกมากเพียงพอ จึงจะนำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้สำเร็จ

ขั้นตอน

1. กฎแห่งความพร้อม 
         ความพร้อม หมายถึง ผู้เรียนมีความเจริญพร้อมทั้งทางกายใจ มีการปรับตัวเตรียมพร้อมมีความตั้งใจ ความสนใจและมีทัศนคติอันจะก่อให้เกิดการกระทำขึ้นภาวะที่สมบูรณ์ ดังนั้นก่อนที่ผู้สอนจะสอนจะต้องสำรวจและศึกษาความพร้อมของผู้เรียนเตรียมผู้เรียนให้พร้อมก่อนให้การศึกษาจัดบทเรียนสนองต่อความต้องการของผู้เรียน สอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
 2. กฎแห่งการฝึกหัด
            เน้นว่า การกระทำซ้ำๆ บ่อยๆจะทำให้การเรียนรู้ นั้นๆแน่นแฟ้นขึ้น แต่ถ้าพฤติกรรมใดแม้เกิดการเรียนรู้แล้วแต่ขาดการกระทำซ้ำบ่อยๆจะทำให้การเรียนรู้นั้นๆ มีความเข้มน้อยลงไปและอาจไม่ได้ผลเท่าเดิม

3. กฎแห่งผล

           กฎนี้ให้ความสำคัญกับผลที่ได้หลังจากการตอบสนองแล้ว ถ้าผลที่ได้เป็นที่น่าพึงพอใจ บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมมากยิ่งขึ้นตรงกันข้าม ถ้าผลที่ได้จากการตอบสนองไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมนั้นลดลง


ประโยชน์

1. ทำให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมก่อนเรียน
2. ทำให้ผู้เรียนมีความคล่องแคล่วและชำนาญจากการได้ฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอ
3. เกิดประสบการณ์การเรียนรู้ เนื่องจากมีการลองผิดลองถูก
4. ทำให้ผู้เรียนรับรู้ความสามารถของตนเองและนำผลที่ได้ไปปรับปรุงแก้ไขตนเอง
แหล่งที่มาของข้อมูล            
 http://www.novabizz.com/NovaAce/Learning/Connectionism_Theory.htm
 http://kasama26.blogspot.com/2010/11/thorndike-connectionism-theory-bond.html
 http://hlinzaii.50webs.com/j7_4.htm

โดย  นางสาวณัฏฐา  รัตนเสถียร   วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์  51310139

วิธีสอนแบบจุลภาค (Micro-Teaching Method)
          เป็นวิธีสอนที่ยึดหลักการย่อส่วนทั้งขนาดของชั้นเรียน ระยะเวลาที่สอนและชนิดของทักษะ วิธีสอนแบบจุลภาคใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที  ในการฝึกทักษะแต่ละชนิด เมื่อสอนเสร็จมีการวิเคราะห์และประเมินผลการสอนจากภาพและเสียงบันทึกไว้ใน Video Tape และนำผลไปปรับปรุงพัฒนาการสอน  การสอนแบบจุลภาคจึงเป็นการฝึกทักษะการสอนในสถานการณ์ย่อส่วนจากสถานการณ์จริงๆ เพื่อง่ายแก่การฝึกภายใต้การควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ  ผู้ฝึกได้มีโอกาสตรวจสอบและปรังปรุงการสอนของตน    ลักษณะการสอนแบบจุลภาคที่สำคัญ มีดังนี้
1.      เป็นสถานการณ์จริงในสถานการณ์จำลอง
2.      เป็นการลดความซับซ้อนของการสอนตามชั้นเรียนปกติ ได้แก่ ลดขนาดของห้องเรียน ลด
ขอบเขตของเนื้อหาวิชา และลดเวลา
3.      เป็นการฝึกทักษะเฉพาะอย่าง เช่น ทักษะการอภิปราย การแก้ปัญหา และการสาธิต ฯลฯ
4.      ได้ทราบผลการประเมินประสิทธิภาพการสอนและนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนา
ขั้นตอนการสอนแบบจุลภาค
ขั้นที่ เตรียมครูผู้สอน ได้แก่ การศึกษาทักษะการสอน
ขั้นที่ ทดลองสอนและบันทึกเทปวีดีทัศน์
ขั้นที่ เรียนรู้ผลการประเมินการสอน
ขั้นที่ ปรับปรุงพัฒนาการสอนกับนักเรียนกลุ่มใหม่
แหล่งอ้างอิง http://www.neric-club.com/data.php?page=27&menu_id=76

นายฤกษ์ชัย แสงตาล 51310443 คณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์



รูปแบบกระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของ Polya
ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ความสามารถที่จะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นที่ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ คือการแก้ปัญหา การเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่น การแสดงเหตุผล การนำ เสนอ การสื่อสารและความคิดสร้างสรรค์
1. ทักษะและกระบวนการแก้ปัญหา 
เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนควรจะรู้ ฝึกฝน และการพัฒนาให้เกิดทักษะขึ้นในตัวนักเรียนปัญหาทางคณิตศาสตร์ หมายถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ซึ่งเผชิญอยู่และต้องการค้นหาคำตอบโดยที่ยังไม่รู้วิธีการหรือขั้นตอนที่จะได้คำตอบของสถานการณ์นั้นในทันที
2. ทักษะและกระบวนการการให้เหตุผล
เป็นกระบวนการการคิดทางคณิตศาสตร์ที่ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์หรือ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการรวบรวมข้อเท็จจริง ข้อความ แนวคิด สถานการณ์ทางคณิตศาสตร์ต่างๆ แจกแจงความสัมพันธ์หรือการเชื่อมโยงเพื่อทำให้เกิดข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์ใหม่
ยุทธวิธีแก้ปัญหา
1. การค้นหาแบบรูป                                            2. การสร้างตาราง
3. การเขียนภาพหรือแผนภาพ                              4. การแจกแจงกรณีที่เป็นไปได้ทั้งหมด
5. การคาดเดาและตรวจสอบ                               6. การทำงานแบบย้อนกลับ
7. การเขียนสมการ                                              8. การเปลี่ยนมุมมอง
9. การแบ่งเป็นปัญหาย่อย                                    10. การให้เหตุผลทางตรรกศาสตร์
11. การให้เหตุผลทางอ้อม
กระบวนการแก้ปัญหาตามแนวคิดของ Polya
ขั้นที่ 1  ขั้นทำความเข้าใจปัญหา
เป็นการคิดเกี่ยวกับปัญหาและตัดสินว่าอะไรที่ต้องการค้นหา โดยผู้เรียนต้องทำความเข้าใจปัญหาและระบุส่วนที่สำคัญของปัญหา
ขั้นที่ 2  ขั้นวางแผนแก้ปัญหา
            เป็นการค้นหาความเชื่อมโยงหรือความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและตัวไม่รู้ค่า นำความสัมพันธ์ที่ได้มาผสมผสานกับประสบการณ์ กำหนดแนวทางหรือแผนในการแก้ปัญหา
ขั้นที่ 3 ขั้นดำเนินการตามแผน
เป็นการลงมือปฏิบัติตามแผนหรือแนวทางที่วางไว้ อาจตรวจสอบความเป็นไปได้ของแผน เพิ่มเติมรายละเอียด แล้วลงมือปฏิบัติจนได้ความสำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จต้องค้นหาและทำการแก้ปัญหาจนสามารถแก้ปัญหาได้
ขั้นที่ 4 ขั้นตรวจสอบผล
เป็นการมองย้อนกลับไปยังคำตอบที่ได้มา เริ่มจากการตรวจสอบความถูกต้อง ความสมเหตุสมผลของคำตอบและยุทธวิธีแก้ปัญหาที่ใช้ มีคำตอบหรือยุทธวิธีอื่นในการแก้ปัญหานี้อีกหรือไม่
รูปแบบการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์
1. การเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์
เป็นการนำความรู้และทักษะกระบวนการต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ไปสัมพันธ์กันอย่างเป็นเหตุเป็นผลทำให้สามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายวิธีหรือกะทัดรัดขึ้นและทำให้การเรียนการสอนคณิตศาสตร์มีความหมายขึ้น
2. การเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่น
เป็นการนำความรู้และทักษะกระบวนการต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ไปสัมพันธ์กันอย่างเป็นเหตุเป็นผลกับเนื้อหาและความรู้ของศาสตร์อื่นๆ เช่น วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ทำให้การเรียนการสอนคณิตศาสตร์น่าสนใจ มีความหมายและนักเรียนเห็นความสำคัญในการเรียนคณิตศาสตร์
3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 
เป็นกระบวนการคิดที่อาศัยความรู้พื้นฐาน จินตนาการและวิจารณญาณ ในการพัฒนาหรือคิดค้นองค์ความรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานที่สูงกว่าความคิดพื้นๆ เพียงเล็กน้อยไปจนกระทั่งเป็นความคิดที่อยู่ในระดับสูงมาก
วิพากษ์วิจารณ์
เป็นการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาที่ได้มาของคำตอบที่ถูกต้อง นักเรียนต้องใช้สาระความรู้ ประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์มากำหนดแนวทางหรือวิธีการในการหาคำตอบ การแก้ปัญหาเป็นกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงจากการนำประสบการณ์ความรู้ ความเข้าใจ ความคิดมาประยุกต์ใช้หาคำตอบและใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาหรือเครื่องมือช่วยนักเรียนในการแก้ปัญหา ปัญหาทางคณิตศาสตร์ปัญหาหนึ่งสามารถแก้ได้โดยใช้ยุทธวิธีที่หลากหลาย นักแก้ปัญหาที่ดีจะต้องเรียนรู้ยุทธวิธีต่างๆ และสะสมยุทธวิธีไว้มากๆ เพื่อนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้

…………………………………………………………………………………………………………    
แหล่งที่มา : http://chalor.wordpress.com/

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
นางสาวกฤติยา  แช่มโตนด     51314076      คณะวิทยาศาสตร์       สาขาคณิตศาสตร์

วิธีสอนแบบแฮร์บาร์ต (Herbart Method)
 
วิธีสอนแบบแฮร์บาร์ตเป็นไปตามแนวคิดของแฮร์บาร์ต ที่ว่า การที่นักเรียนจะเรียนรู้สิ่งไดนั้นนักเรียนจะต้องสนใจเป็นเบื้องแรก ครูผู้สอนจำเป็นต้องเร้าความสนใจของนักเรียนก่อนเข้าสู่ขั้นของการสอนเพื่อให้เกิดเรียนรู้
ความมุ่งหมายของวิธีการสอนแบบแฮร์บาร์ต
1. เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากการสนใจ
2. เพื่อฝึกในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เก่าและความรู้ใหม่ที่ได้รับ
3.เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนสามารถจัดลำดับความรู้จากง่ายไปหายากปละจากความจริงทั่วไปไปสู่หลักเกณฑ์หรือข้อสรุป
ขั้นตอนของการวิธีสอนแบบแฮร์บาร์ต
1. ขั้นเตรียม เป็นขั้นตอนของการเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ครูจะต้องทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนให้ประสานกับความรู้ใหม่
2. ขั้นสอน เป็นขั้นตอนที่ครูดำเนินการสอนเพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ตามบทเรียน
3.  ขั้นสัมพันธ์หรือขั้นทบทวนและเปรียบเทียบ   เป็นขั้นตอนต่อจากการสอนของครูเมื่อครู
สอนจบบทเรียนแล้ว ครูต้องทบทวนความรู้ที่นักเรียนเรียนไปแล้ว และนำความรู้ใหม่ไปสัมพันธ์กับความรู้เดิมด้วยการวิเคราะห์และเปรียบเทียบความแตกต่างและคล้ายคลึงกันระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่
4. ขั้นตั้งกฎหรือข้อสรุป เป็นขั้นที่นักเรียนเข้าใจบทเรียนกว้างขึ้น ครูและนักเรียนจะต้องช่วยกันรวบรวมความรู้จากขั้นตอนที่ 1-4 ตามลำดับจากง่ายไปหายากอย่างเป็นระบบ และจดบันทึกไว้
5.ขั้นการนำไปใช้ เป็นขั้นตอนที่นักเรียนนำเอาความรู้ความเข้าใจที่ได้เรียนมาแล้วไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือใช้ในสถานการณ์อื่น
ข้อดีของวิธีสอนแฮร์บาร์ต
1.นักเรียนได้เรียนรู้จากความสนใจ
2.การเรียนรู้ดำเนินไปจากง่ายไปหายากตามลำดับ
3.การสร้างกฏเกณฑ์หรือข้อสรุปกระทำโดยนักเรียนและครู
ข้อสังเกตของวิธีสอนแบบแฮร์บาร์ต
1.ในขั้นของการสัมพันธ์หรือทบทวนและเปรียบเทียบ ครูต้องให้โอกาสนักเรียนในการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างและคล้ายคลึงกันระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ด้วยตนเองมิใช่เกิดจากการแนะนำของครู
2.ครูควรเน้นย้ำให้นักเรียนจดบันทึกความรู้ตามลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายาก

แหล่งอ้างอิง https://sites.google.com/site/prapasara/15-1

นางสาว อัจฉรา เชยล้อมขำ 51313734 คณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์